สถานการณ์ของเอเอ็มดีในเวลานี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก ทำให้นักวิเคราะห์และสื่อทั่วโลกคาดการณ์กันว่าบางทีเอเอ็มดีอาจจะต้องขายกิจการก็เป็นได้
ที่จริงแล้วในปี 2008 นี้ น่าจะเป็นปีที่เอเอ็มดีมีความพร้อมสำหรับการแข่งขันมากที่สุดในทุก ๆ ตลาดเลยก็ว่าได้ นับตั้งแต่เอเอ็มดีได้เข้าครอบครองกิจการของ ATi ผู้ผลิตกราฟิก Radeon มาตั้งแต่ปี 2006
โดยความพร้อมที่ว่านั้นมาจากเปิดตัวของแพลตฟอร์มอย่าง Spider ที่ประกอบไปด้วยซีพียู Phenom ชิปเซต 790 และกราฟิกการ์ด Radeon HD 3870 หรือถ้าเป็นตลาดโน้ตบุ๊กเอเอ็มดีก็ยังมีแพลตฟอร์ม Puma อีกด้วย นี่ยังไม่นับรวมถึงชิป Imageon สำหรับตลาดมือถือและตลาดอุปกรณ์พกพาด้วย
ในขณะที่เอเอ็มดีพัฒนาความพร้อมขึ้นมานั้นคู่แข่งของเอเอ็มดีเองก็มีการพัฒนาไปด้วยเช่นกัน จึงทำให้การแข่งของเอเอ็มดีไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หากมองไปในตลาดซีพียูจนถึงวันนี้เอเอ็มดีก็ยังไม่มีซีพียูที่จะสามารถต่อกรกับ Core 2 ของอินเทลได้ หรือในตลาดกราฟิกชิป Radeon HD 3870 ก็กำลังถูกท้าทายจาก GeForce 9 Series หรือแม้กระทั่งชิป Imageon ที่นักวิเคราะห์หลายคนคิดว่าน่าจะเป็นตลาดที่ทำให้เอเอ็มดีสามารถสะสมกำลังพอที่จะกลับมาสู้ต่ออย่างเข้มแข็งในตลาดพีซี ก็ต้องเผชิญกับชิป APX 2500 ของเอ็นวิเดีย และล่าสุดอินเทลก็ตามมารังควาญอีกด้วยการเปิดตัวซีพียู Atom ที่ออกมาสำหรับตลาดอุปกรณ์แบบพกพาที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เรียกได้ว่าทุกตลาดของเอเอ็มดีเต็มไปด้วยคู่แข่งที่เป็นระดับเทพด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อจอสภาพแบบนี้หลายคนจึงย้อนกลับไปมองในช่วงที่เอเอ็มดีเข้าซื้อกิจการของ ATi ซึ่งในเวลานั้นตัวเลขของ ATi ค่อนข้างสวยหรูเลยทีเดียวมีรายได้ปีหนึ่งอยู่ในระดับสูงกว่า 600 ล้านเหรียญ และมีกำไรสุทธิมากกว่า 30 ล้านเหรียญ แต่พอมารวมกับเอเอ็มดีแล้วกลายไปว่าการดำเนินงานในส่วนของเอเอ็มดีทำให้คนที่เคยอยู่กับ ATi ต้องคิดหนักว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพวกเขา
ถ้าเรามองย้อนไปเพื่อหาความผิดพลาดของเอเอ็มดี โดยรวมๆ แล้วผมคิดว่าเอเอ็มดีน่าจะมีปัญหาหลัก ๆ อยู่สามอย่างคือ 1. คุยมากไป 2. ปัญหาความล่าช้า 3. ปัญหาเรื่องการผลิต
การคุยมากไปของเอเอ็มดีนั้นก็เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของการตลาดที่ต้องมีการพูดถึงจุดดีจุดเด่นของตัวเองที่เหนือกว่าคู่แข่ง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่การโอ้อวดของเอเอ็มดีนั้นได้สร้างความหวังมากมายให้กับสาวกของตนเอง และสร้างความหมั่นไส้ให้กับสาวกของอินเทล ทีนี้เมื่อซีพียูอย่าง Phenom ออกสู่ตลาด แล้วมีปัญหาเรื่อง TLB และประสิทธิภาพที่ได้ก็ไม่ได้สูงมากมายอย่างที่หวัง มันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้สาวกของเอเอ็มดีต้องผิดหวัง และเปิดโอกาสให้สาวกของอินเทลกระทืบความรู้สึกของสาวกเอเอ็มดีซ้ำชนิดที่เรียกว่าจมดินไปเลยทีเดียว
หรือถ้าจะว่ากันตรงๆ ก็คือตอนนี้เอเอ็มดียังไม่มีซีพียูที่จะไปต่อกรกับอินเทลได้เลย ไม่ว่าจะเป็นตลาดระดับล่าง ระดับกลาง และระดับบน
ปัญหาที่สองก็คือเรื่องของความล่าช้า เรื่องของความล่างช้านั้นไม่ได้หมายถึงเรื่องความล่าช้าในการออกผลิตภัณฑ์แต่ละตัวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความล่าช้าในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของซีพียูที่ช่วงหนึ่งเอเอ็มดีใช้นโยบายที่เรียกได้ว่าอนุรักษ์นิยมเกินไป เพราะในขณะที่อินเทลได้พยายามนำเสนอเทคโนโลยีกระบวนการผลิตที่ใหม่และทันสมัยอยู่สม่ำเสมอ แต่ทางเอเอ็มดีกลับมองข้ามเรื่องนี้ไปทั้ง ๆ ที่เอเอ็มดีเองก็มีศักยภาพพอที่จะทำให้เรื่องพวกนี้เนื่องจากมีการทำงานวิจัยร่วมกับทางไอบีเอ็มอย่างใกล้ชิด
เรื่องที่สามก็คือเรื่องของปัญหาของการผลิตสินค้าที่ไม่เพียงพอ ผมได้มีโอกาสพูดุคุยกับผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของกราฟิกการ์ดหลายยี่ห้อที่มาจากไต้หวัน เสียงบ่นที่เหมือน ๆ กันก็คือ ปริมาณกราฟิกชิปที่ผลิตออกมานั้นมีค่อนข้างน้อย อย่างในช่วงที่ Radeon HD 2000 Series ออกมาใหม่ ๆ ตลาดได้ให้ความสนใจมากมายแต่กำลังการผลิตกลับมีไม่เพียงพอ นอกจากจะเป็นการตัดโอกาสในการขายสินค้าของตัวเองแล้ว ยังทำให้ผู้ที่ต้องการจะซื้อหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งทดแทนอีกด้วย
ที่เขียนมาตั้งแต่ต้นจนถึงตรงนี้ อ่านดูแล้วดูเหมือนว่าเอเอ็มดีแทบจะไม่มีหวังอะไรเลย แต่ถ้าจำไม่ผิดผมเคยอ่านบทความให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารเอเอ็มดีที่ยังมองโลกในแง่ดีว่า "มีน้ำเหลืออีกตั้งครึ่งแก้ว" นั่นก็เป็นการส่งสัญญาณได้อย่างหนึ่งว่าเอเอ็มดียังไม่ยอมแพ้และถอดใจ
อย่างไรก็ตามผมก็รู้สึกว่าเอเอ็มดีเองก็รับรู้ถึงปัญหาของตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ากระบวนการแก้ไขนั้นมันก็ไม่ได้ง่ายและเมื่อดำเนินการแก้ไขแล้วมันก็ต้องรอเวลาสักระยะผลของการแก้ไขปัญหาจึงจะส่งผลออกมาให้เห็น
จะว่าไปแล้วกระบวนการการปรับตัวของเอเอ็มดีนั้นได้เริ่มมาตั้งแต่ราว ๆ เดือนตุลาคมของปี 2007 และตอนนี้ก็เห็นได้ชัดจากงาน CeBit 2008 ที่จัดขึ้นที่เยอรมันนี โดยเอเอ็มดีได้นำผลิตภัณฑ์ต้นแบบหลายอย่างออกมาแสดง และมีการปรับแผนในการผลิตด้วยการนำกระบวนการผลิตซีพียูที่ใช้เทคโนโลยี 45 นาโนเมตร เข้ามาให้เร็วขึ้น และเอเอ็มดีเองก็มีเป้าหมายว่าจะพยายามลดระยะเวลาหรือระยะห่างของกระบวนการผลิตของตนให้ใกล้กับทางอินเทลมากขึ้น เพื่อไม่ให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเป็นผู้ตามที่ห่างชั้นกันเกินไป
หากดูสถานการณ์ในแง่ของการค้าขาย วิธีที่จะทำให้องค์กรอยู่รอดในสภาวะแบบนี้ได้ก็มีอยู่สองทางใหญ่ ๆ ทางแรกคือลดต้นทุน ทางที่สองคือเพิ่มยอดขาย
หนทางแรกเรื่องการลดต้นทุนนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับเอเอ็มดีในเวลานี้ เพราะดูแล้วไม่สามารถที่จะไปตัดทอนอะไรได้อีก เพราะมันอาจจะส่งผลที่สำคัญของการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และอย่างที่บอกไปในตอนต้นว่าปีนี้เอเอ็มดีมีความพร้อมในเรื่องของผลิตภัณฑ์มากกว่าในทุก ๆ ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีคำถากถางเกี่ยวกับซีพียูอยู่บ้างก็ตาม แต่กราฟิกชิป และชิปเซตรุ่นใหม่ ๆ ของเอเอ็มดีนั้น ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นยอดที่จะช่วยกู้สถานการณ์ในขณะนี้ได้
หนทางในการเพิ่มยอดขายก็คือมองหาตลาดใหม่ ตลาดที่มีขนาดใหญ่เพียงพอสำหรับการทุ่มงบประมาณด้านการประชาสัมพันธ์ที่มีอยู่จำกัด ซึ่งตลาดที่ว่าก็คงจะไม่มีที่ใดยิ่งใหญ่และมีอัตราการเติบโตมากไปกว่าตลาดจีนอีกแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาเอเอ็มดีก็เข้าไปทำตลาดในจีนและประสบความสำเร็จมากพอสมควร จึงทำให้ในปีนี้เราจะได้เห็นเอเอ็มดีเข้าไปทุ่มเทการทำตลาดในประเทศจีนมากยิ่งขึ้นไปอีก
นอกจากนี้แล้ว ในข่าวร้ายก็ยังพอมีข่าวดีอยู่บ้าง เช่นบริษัท ASUS มีโครงการที่จะจัดทำ Low Cost Desktop ซึ่งเป็นการเลียนแบบความสำเร็จจาก Eee PC และโครงการอื่น ๆ เช่น E-TV ที่มีความจำเป็นต้องใช้ซีพียู และทาง ASUS ก็ได้มีการสั่งซื้อซีพียู Sempron ของเอเอ็มดีไปเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงชิป Imation ก็กำลังถูกจับตาและมีผู้ให้ความสนใจในการนำไปผลิตเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ๆ เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงแพลตฟอร์ม Puma ของเอเอ็มดีเองก็มีผู้ผลิตให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น
โดยรวม ๆ แล้วผมคิดว่าตอนนี้เอเอ็มดีไม่ได้อยู่ภาวะที่เลวร้ายมากนัก แต่ถ้าถามว่ายังอยู่ในภาวะวิกฤติไหม ผมก็ว่ายังอยู่ในภาวะของการวิกฤติ เพราะยังไม่รู้ว่าจะออกไปในทางดีหรือทางร้ายอย่างชัดเจน
มีคนชอบพูดกันว่า “เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส”
แล้วก็ตีความไปว่าโอกาสที่ว่าคือสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้น
แต่ผมก็อ่านเจอคำสอนของพระที่ว่าในวิกฤตินั้นมีโอกาส แต่โอกาสที่ว่านั้นก็เป็นไปได้สองทาง
คือถ้ามีโอกาสแล้วทำได้สำเร็จ
“วิกฤติก็จะกลายเป็นวิวัฒน์” แต่ถ้ามีโอกาสแล้วทำไม่สำเร็จ “วิกฤติก็จะกลายเป็นวิบัติ”
งานนี้ก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่าเอเอ็มดีจะพลิกโอกาสที่อยู่ในวิกฤติไปทางไหน…
